วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

โอกาศ


ครั้งแรกที่ผมได้ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนผมรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง ไม่มีเพื่อน ไม่คุ้นที่คุ้นทาง ไม่รู้จักใครเลย ผมคิดว่าจะปรับตัวยังไงดีให้อยู่จนจบม.6 หรือบางทีถ้าเป็นไปได้ถ้าจบม.3แล้วอาจจะไปสอบเข้าม.4ที่โรงเรียนอื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป...ผมก็เริ่มมีเพื่อน เพื่อนผู้ที่คอยให้กำลังใจ ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือผมมาตลอด ถึงแม้ว่าบางทีเราอาจจะทะเลาะกันบ้างแต่มันทำให้เรารู้สึกสนิทกันมากขึ้น ถึงเวลาเราก็หัวเราะด้วยกันถึงเวลาเครียดเราก็เครียดด้วยกันปัญหาของแต่ละคนก็กลายเป็นปัญหาของเราไปด้วย มันพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่าเพื่อนมีความหมายมากมายอยู่ในคำๆเดียว ขอบคุณที่ผมพลาดโอกาสในวันนั้น วันนี้ผมเลยยังมีโอกาสที่ดีกว่าให้ได้ทำ และรู้ว่า"โอกาส"ไม่แวะเวียนมาหาบ่อยนัก อย่าพลาดที่จะคว้ามันไว้

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รุกด๊บ (ภาษาเขมร)




------> ผมมีคำถามในใจผมมาตั้งแต่เด็กว่าทำไมผู้ชายต้องไปเกณฑ์ทหารด้วยเล่าแล้วผู้หญิงละไม่ต้องไปอย่างนั้นหรือ??? คำตอบคงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแอ...แต่ผู้ชายแข็งแรงกว่าหรอ หรือว่าเป็นธรรมเนียมแต่โบราณผู้หญิงต้องพับผ้าอยู่บ้านส่วนผู้ชายไปออกรบ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามผม..ชายไทย(รึป่าว?)เมื่อครบ 21 ปีต้องไปเกณฑ์ทหารอยู่ดี ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน...ผมเรียนอยู่ชั้นม.3กำลังจะขึ้นม.4ได้มีเพื่อนมาบอกว่าใครไม่อยากไปเกณฑ์ทหารยกมือขึ้น!!! เข้าทางผมเลยครับ เพื่อนเลยแนะนำไปเรียน ร.ด. เมื่อเรียนครบ 3 ปีก็ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร แต่หารู้ไม่ว่า 3 ปีนั้นต้องทนทุกข์ทรมารกับการเดินทางไปเรียน ร.ด. มากเท่าไหร่ ผมต้องตื่นไปเรียน ร.ด. ตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง เรียนเสร็จกลับมาเรียนหนังสือต่ออีก ไหนจาฝึกกลางแดด กลางฝน ที่สำคัญสุดๆเรียน ร.ด. เสียตังไปไม่ใช่น้อยๆครับค่านู้นค่านี่เยอะแยะ แต่ในอีกมุมหนึ่งการฝึก ร.ด. มันก็สนุกดีครับมันเหมือนเป็นกิจกรรมที่เราต้องทำไปพร้อมกับเพื่อนๆ เวลามาสายก็ไปวิ่งรอบสนาม ไม่ตัดผมมาก็หนีตัดผม โดนทำโทษเวลาเท้าไม่พร้อม เสียงไม่ดังเราก็จะอู้ไปพร้อมกับเพื่อนๆ ฯลฯ ทุกๆอย่างกลายเป็นความทรงจำดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและฝังลึกลงไปตามเส้นประสาทอย่างเหนียวแน่น ทุกครั้งที่นึกถึงมันทำให้ผมอยากย้อนเวลากลับไป...เหลือเกิน <------

ความเร็วที่จำกัด


...ในชีวิตตอนเด็กๆของผม ผมไม่ค่อยได้มีโอกาศได้เจอกับพ่อแม่เท่าไหร่นัก เนื่องจากพ่อแม่ผมต้องไปทำงานตามต่างจังหวัดหลายๆวันเป็นอาทิตย์หรืออาจจะเป็นเดือนๆเลย ดังนั้นตอนเด็กๆผมเลยถูกส่งตัวไปอยู่โรงเรียนประจำโดยอาศัยอยู่กับพี่เลี้ยง ซึ่งพี่เลี้ยงก็ได้ดูแลผมเป็นมาอย่างดีแต่ผมก็ได้รับความอบอุ่นไม่เท่ากับการที่ได้อยู่กับพ่อแม่หรอกครับ ถึงแม้ว่าผมจะต้องอยู่โรงเรียนประจำแต่พ่อแม่ผมไม่เคยที่จะห่างหายไปนานๆเลย มาหาผมอยู่ไม่ขาดหาย พ่อผมเล่าว่า"มีอยู่วันหนึ่งวันที่พ่อต้องมารับผมกลับบ้าน พ่อถูกตำรวจขี่รถตามเนื่องจาก...ขับรถเร็วเกินความเร็วที่เค้าจำกัดไว้ ตำรวจคนนั้นก็ตามรถพ่อผมไม่หยุดเลยครับพ่อเห็นอย่างนั้นจึงหยุดแล้วเข้าไปคุยกับตำรวจว่า"พี่ครับ ผมมีธุระด่วนจริงๆครับ ผมต้องไปรับลูกที่โรงเรียน..."พ่อผมก็ขอความเห็นใจไปเรื่อยๆจนกระทั่งไม่รู้เพราะอะไร...อากาศเป็นใจหรือเพราะความเห็นใจของตำรวจคนนั้นเองเค้าก็ตักเตือนพ่อและยอมให้ผ่านไปโดยดี" ไม่ใช่ว่าพ่อผมรีบไปไหนหรอกครับพ่อเค้าบอกผมว่าพ่ออยากเจอหน้าลูกเร็วๆ ไม่ว่าจะเพราะความเป็นห่วงของพ่อกับแม่หรือเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ผมก็"รู้สึกดี"ทุกครั้งที่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่...